แนวโน้มการเติบโตของประกันชีวิตในฐานะเครื่องมือการลงทุน

แนวโน้มการเติบโตของประกันชีวิตในฐานะเครื่องมือการลงทุน
Photo by Jakub Żerdzicki / Unsplash

ประกันชีวิตได้พัฒนาไปอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากการที่เป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้สำหรับคุ้มครองชีวิตและครอบครัว กลายเป็นเครื่องมือการลงทุนที่มีการนำเสนอการออมและการลงทุนที่หลากหลาย นอกจากนี้ความต้องการสินค้าประกันชีวิตในฐานะเครื่องมือการลงทุนยังคงมีแนวโน้มเติบโตขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น ประเทศไทย ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาความสนใจของประชาชนในการเลือกลงทุนในประกันชีวิตมากขึ้น ต่อไปนี้คือแนวโน้มการเติบโตของประกันชีวิตในฐานะเครื่องมือการลงทุนที่สำคัญ:

1. การเติบโตของตลาดประกันชีวิตในเอเชีย

ตลาดประกันชีวิตในภูมิภาคเอเชียกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก เช่น จีน อินเดีย และไทย การที่ประชากรในภูมิภาคนี้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจและเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนที่มีรายได้สูงทำให้มีความต้องการสินค้าประกันชีวิตที่ไม่เพียงแต่คุ้มครองชีวิต แต่ยังช่วยในการลงทุนและการเก็บออมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกันชีวิตที่มีส่วนผสมของการลงทุน (เช่น Unit-linked) จึงได้รับความนิยมมากขึ้น

2. การเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มการลงทุน

ประกันชีวิตในรูปแบบของ Unit-linked หรือ Endowment ที่ผสมผสานการคุ้มครองชีวิตและการลงทุนกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ลงทุนหันมามองหาทางเลือกที่มีความยืดหยุ่นในการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น กองทุนรวม, หุ้น, หรือพันธบัตร เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้มากขึ้น รวมถึงการมีความเสี่ยงที่สามารถปรับได้ตามความต้องการของผู้ถือกรมธรรม์

3. ความต้องการในเรื่องของการเกษียณอายุ

ประชากรในหลายประเทศกำลังมองหาวิธีการเตรียมความพร้อมในการเกษียณอายุอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้ความต้องการในผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาวหรือบำนาญเติบโตขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่เริ่มมีการวางแผนการเงินล่วงหน้า การลงทุนในประกันชีวิตแบบบำนาญหรือประกันชีวิตที่สามารถสะสมมูลค่าได้จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากขึ้น

4. ความสะดวกในการเข้าถึง

ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech) ที่ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตได้ง่ายขึ้นผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น การซื้อประกันชีวิตผ่านแอปพลิเคชันมือถือหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ ทำให้การลงทุนในประกันชีวิตเป็นที่นิยมมากขึ้น โดยไม่ต้องผ่านตัวแทนหรือออกจากบ้าน ซึ่งเหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายในการจัดการการเงิน

5. การสนับสนุนจากรัฐและนโยบายทางภาษี

ในหลายประเทศรวมถึงไทย รัฐบาลได้มีการสนับสนุนและให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการลงทุนในประกันชีวิต เช่น การลดหย่อนภาษีจากการชำระเบี้ยประกันชีวิตและการมีผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่สามารถสะสมมูลค่าได้ที่ได้รับการสนับสนุนทางภาษี ส่งผลให้ประชาชนหันมาลงทุนในประกันชีวิตมากขึ้น เนื่องจากเป็นการลงทุนที่มีประโยชน์ทางภาษีและสามารถลดภาระภาษีได้

6. การเพิ่มขึ้นของความตระหนักในเรื่องความเสี่ยง

ในยุคที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวน ผู้คนเริ่มหันมามองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดความเสี่ยง และประกันชีวิตที่มีการผสมผสานการลงทุนสามารถตอบโจทย์นี้ได้ โดยช่วยให้ผู้ลงทุนได้รับการคุ้มครองชีวิตไปพร้อม ๆ กับการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาว การลงทุนในผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่สามารถปรับความเสี่ยงได้ตามความต้องการจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

7. แนวโน้มการลงทุนในประกันชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (ESG)

การลงทุนในประกันชีวิตที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (ESG: Environmental, Social, Governance) กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุนที่มีความสนใจในผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งบางบริษัทประกันชีวิตก็เริ่มออกผลิตภัณฑ์ที่มีการลงทุนในกองทุน ESG โดยตรง เพื่อดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการทั้งผลตอบแทนและการทำประโยชน์เพื่อสังคม

สรุป

การลงทุนในประกันชีวิตในฐานะเครื่องมือการลงทุนยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง เนื่องจากการผสมผสานระหว่างการคุ้มครองชีวิตและการลงทุนได้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีการเงิน, นโยบายภาษี และความสนใจในเรื่องการเกษียณอายุที่ทำให้ตลาดประกันชีวิตยังคงเติบโตต่อไปในอนาคต